นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า สืบเนื่องจากในปี 2558 จังหวัดนครศรีธรรมราชการ ได้จัดทำ "โครงการข้าวสาร ลดค่าครองชีพประชาชน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นตลาดข้าวเพื่อให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคข้าวที่ปลูกในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อไปยังชาวนาได้หันมาปลูกข้าวที่ตรงกับรสนิยมของผู้บริโภค ซึ่งในปี 2558 จังหวัดได้ดำเนินการโครงการดังกล่าว จำนวน 2 ครั้ง ปริมาณรวมทั้งสิ้น 2,276.56 ตัน มูลค่า 45.531 ล้านบาท สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนไม่น้อยกว่า 22.765 ล้านบาท และช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้นตันละ 500 บาท
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากเสียงตอบรับของประชาชนผู้บริโภคและจากภาคผู้ผลิตก็คือชาวนาที่ขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น ประกอบกับขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารายังคงประสบกับปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่ลดลง จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้จัดทำโครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชนปี 2559 โดยกำหนดจัดจำหน่ายข้าวหอมปทุมให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ปริมาณรวมทั้งสิ้น 2,000 ตัน หรือ 400,000 ถุง บรรจุถุงละ 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาถุงละ 100 บาทเท่ากับปีก่อน ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยกำหนดดำเนินการจำหน่ายข้าวสารให้กับประชาชนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ส่วนวิธีการจำหน่ายจะเหมือนกับปี 2558 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ สำรวจความต้องการข้าวสารจากประชาชนในพื้นที่ และส่งยอดสั่งซื้อให้กับสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด เพื่อแจ้งต่อไปยังสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ จัดเตรียมข้าวสารและส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/อำเภอ เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนต่อไป รวมทั้งข้าราชการผู้น้อยในส่วนราชการต่างๆ ด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวต่อว่า อาจจะมีบางคนตั้งคำถามการจัดโครงการดังกล่าวจะไปประทบราคาข้าวสารในท้องตลาด ทำให้ร้านขายข้าวสารได้ลดลงไหม ซึ่งส่วนตัวตนมองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อร้านจำหน่ายข้าวสาร เพราะโครงการนี้ถือว่ามีปริมาณข่าวสารไม่มาก ส่วนท้องถิ่นใดจะดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทางจังหวัดพร้อมที่จะสนับสนุน เช่น อบต.หลักช้าง อ.ช้างกลาง ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ถือเป็นโครงการที่ดีเพราะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น
นายสุทธิพร กาฬสุวรรณ นายกสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ กล่าวว่า ข้าวสารหอมปทุมที่ทางโรงสีนำมาบรรจุขาย เป็นข้าวที่ปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ผลผลิตข้าวได้เก็บเกี่ยวออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 10% ราคารับซื้อที่ความชื้น 15% ตันละ 9,500-10,000.-บาท ซึ่งการจัดโครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชน จะช่วยกระตุ้นให้ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นตันละ 300-400 บาท เป็นการช่วยเหลือชาวนาได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนในอนาคตสมาคมคาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาข้าวเปลือกหอมปทุมให้ปรับตัวสูงขึ้น 500 บาทต่อตัน หรือราคา 10,000- 10,500 บาทต่อตัน
นายบริรักษ์ ชูสิทธิ์ พาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า โครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชน เป็นการช่วยระบายข้าวออกจากตลาด เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาให้ขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งทันทีที่เปิดตัวโครงการนี้ ทราบว่าราคาข้าวเปลือกหอมปทุม ได้ปรับตัวสูงขึ้นแล้วตันละ 300 บาท ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
และในโอกาสนี้ ทางสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ ได้นำข้าวสารหอมปทุมบรรจุถุงๆ ละ 5 กิโลกรัม มามอบให้กับข้าราชการผู้น้อยและลูกจ้างที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
แหล่งที่มาของข้อมูล : "นครศรีฯ เดินหน้าข้าวสาร ลดค่าครองชีพ.". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.banmuang.co.th/news/region/38423
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากเสียงตอบรับของประชาชนผู้บริโภคและจากภาคผู้ผลิตก็คือชาวนาที่ขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น ประกอบกับขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารายังคงประสบกับปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่ลดลง จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้จัดทำโครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชนปี 2559 โดยกำหนดจัดจำหน่ายข้าวหอมปทุมให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ปริมาณรวมทั้งสิ้น 2,000 ตัน หรือ 400,000 ถุง บรรจุถุงละ 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาถุงละ 100 บาทเท่ากับปีก่อน ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยกำหนดดำเนินการจำหน่ายข้าวสารให้กับประชาชนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ส่วนวิธีการจำหน่ายจะเหมือนกับปี 2558 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ สำรวจความต้องการข้าวสารจากประชาชนในพื้นที่ และส่งยอดสั่งซื้อให้กับสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด เพื่อแจ้งต่อไปยังสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ จัดเตรียมข้าวสารและส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/อำเภอ เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนต่อไป รวมทั้งข้าราชการผู้น้อยในส่วนราชการต่างๆ ด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวต่อว่า อาจจะมีบางคนตั้งคำถามการจัดโครงการดังกล่าวจะไปประทบราคาข้าวสารในท้องตลาด ทำให้ร้านขายข้าวสารได้ลดลงไหม ซึ่งส่วนตัวตนมองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อร้านจำหน่ายข้าวสาร เพราะโครงการนี้ถือว่ามีปริมาณข่าวสารไม่มาก ส่วนท้องถิ่นใดจะดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทางจังหวัดพร้อมที่จะสนับสนุน เช่น อบต.หลักช้าง อ.ช้างกลาง ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ถือเป็นโครงการที่ดีเพราะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น
นายสุทธิพร กาฬสุวรรณ นายกสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ กล่าวว่า ข้าวสารหอมปทุมที่ทางโรงสีนำมาบรรจุขาย เป็นข้าวที่ปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ผลผลิตข้าวได้เก็บเกี่ยวออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 10% ราคารับซื้อที่ความชื้น 15% ตันละ 9,500-10,000.-บาท ซึ่งการจัดโครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชน จะช่วยกระตุ้นให้ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นตันละ 300-400 บาท เป็นการช่วยเหลือชาวนาได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนในอนาคตสมาคมคาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาข้าวเปลือกหอมปทุมให้ปรับตัวสูงขึ้น 500 บาทต่อตัน หรือราคา 10,000- 10,500 บาทต่อตัน
นายบริรักษ์ ชูสิทธิ์ พาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า โครงการข้าวสารลดค่าครองชีพประชาชน เป็นการช่วยระบายข้าวออกจากตลาด เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาให้ขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งทันทีที่เปิดตัวโครงการนี้ ทราบว่าราคาข้าวเปลือกหอมปทุม ได้ปรับตัวสูงขึ้นแล้วตันละ 300 บาท ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
และในโอกาสนี้ ทางสมาคมโรงสีข้าวและกลุ่มชาวนาภาคใต้ ได้นำข้าวสารหอมปทุมบรรจุถุงๆ ละ 5 กิโลกรัม มามอบให้กับข้าราชการผู้น้อยและลูกจ้างที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
แหล่งที่มาของข้อมูล : "นครศรีฯ เดินหน้าข้าวสาร ลดค่าครองชีพ.". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.banmuang.co.th/news/region/38423